เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวเพื่อเมืองที่ยั่งยืน

การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน (Sustainable Urban Development) จำเป็นต้องพิจารณาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกแหล่งใหญ่ของโลก หนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดผลกระทบคือ การประเมินและลดการปล่อยคาร์บอนสะสม (Embodied Carbon) ตลอดวงจรชีวิตของอาคาร ผ่านกระบวนการ Life Cycle Assessment (LCA) ตามมาตรฐานสากล เช่น EN 15978:2011 และกรอบแนวคิดของ WBCSD และ ILFI
สำหรับ กลยุทธ์ลดคาร์บอนของอาคาร (Low-Carbon Building Strategies) สามารถจำแนกออกเป็น 4 แนวทางหลัก ได้แก่
- Build Nothing - หลีกเลี่ยงการก่อสร้างที่ไม่จำเป็น
- Build Less - ลดขนาดอาคารและลดการใช้ทรัพยากร
- Build Clever - เลือกใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและเหมาะสม
- Build Efficiently - ออกแบบเพื่อให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุด
ในบริบทของประเทศไทย มีการบังคับใช้กฎกระทรวงเกี่ยวกับการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2563 (Building Energy Code: BEC) ซึ่งกำหนดให้อาคารขนาดใหญ่ใน 9 ประเภท ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านระบบเปลือกอาคาร แสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ ระบบน้ำร้อน การใช้พลังงานหมุนเวียน และการบริหารพลังงานในระดับรวมทั้งอาคาร
นอกจากนี้ การประเมินมาตรฐานความยั่งยืนของอาคารในประเทศไทย ยังรวมถึงระบบ TREES (Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) ซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ผังบริเวณและภูมิทัศน์ (Site and Landscape) ส่งเสริมการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และเพิ่มพื้นที่สีเขียว การอนุรักษ์น้ำ (Water Conservation) ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำน้ำฝนกลับมาใช้ พลังงานและบรรยากาศ (Energy and Atmosphere) ลดการใช้พลังงาน และหลีกเลี่ยงการใช้สารทำความเย็นที่ทำลายชั้นโอโซน วัสดุและทรัพยากร (Materials and Resources) ส่งเสริมการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุรีไซเคิล วัสดุท้องถิ่น และวัสดุที่ได้รับฉลากเขียว
ในขณะเดียวกัน ระบบการประเมินระดับสากล เช่น LEED for Neighborhood Development (LEED-ND) ยังให้ความสำคัญกับการวางผังเมืองที่ยั่งยืน และการออกแบบชุมชนที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชน สาธารณูปโภค และบริการพื้นฐานต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับความท้าทายและโอกาสในอนาคตของการพัฒนาเมืองยั่งยืน ได้แก่ การเสริมสร้างความรู้และความตระหนักรู้ในสังคม การปรับปรุงกฎหมายและกลไกจูงใจทางการเงิน การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลที่เข้าถึงได้ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ นักพัฒนา ผู้ผลิต ผู้ออกแบบ หรือภาคการศึกษา เพื่อร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เมืองที่มีคาร์บอนต่ำและสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
