ความสำคัญของคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นหนึ่งในความเสี่ยงระดับโลกที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะต่อภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญกับความคาดหวังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วโลก ซึ่งต่างให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในบริบทนี้ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” (Carbon Footprint) จึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถประเมิน ติดตาม และบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยจากกิจกรรมหนึ่ง ๆ ซึ่งแสดงผลในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 eq) การคำนวณค่าดังกล่าวจะอิงจากข้อมูลกิจกรรม (Activity Data) ร่วมกับค่าสัมประสิทธิ์การปล่อย (Emission Factor) การวัดที่แม่นยำสามารถนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจน (Target) การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างองค์กร (Comparable) การใช้ข้อมูลในการสื่อสารทางการตลาด (Marketable) และการแสดงความรับผิดชอบขององค์กรอย่างโปร่งใส (Accountable)
ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นไปอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ องค์กรจำเป็นต้องดำเนินการผ่านกระบวนการ 10 ขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้นำองค์กร การกำหนดขอบเขตของการปล่อย (Scopes 1–3) การระบุแหล่งปล่อย การรวบรวมข้อมูล การคำนวณ การวิเคราะห์ การจัดทำรายงาน ไปจนถึงการตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก (Third-Party Verification) ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนกระบวนการ MRV (Monitoring, Reporting, Verification) ที่มีความโปร่งใสและเชื่อถือได้ สอดคล้องกับแนวทางขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น IPCC, UNFCCC และ SDG
ความสำคัญของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่อภาคธุรกิจ สามารถสะท้อนผ่านประเด็นหลัก 5 ประการ ได้แก่
- ต้นทุน – การลดใช้พลังงานและทรัพยากรสามารถช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ความอยู่รอดของผลิตภัณฑ์ – การปรับตัวตามกฎระเบียบใหม่และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
- มูลค่าทรัพย์สินและความเสี่ยง – การบริหารจัดการความเสี่ยง ESG และความผันผวนของตลาดที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ
- ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น – การสร้างความไว้วางใจในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน – การร่วมมือกับคู่ค้าเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า
หากพิจารณาในระดับนโยบาย ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายสำคัญ คือ การบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065 ซึ่งภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้ โดยเฉพาะผ่านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวมาใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ เช่น พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสิ่งแวดล้อม และแนวทางเชิงธรรมชาติ (Nature-Based Solutions) ในบริบทนี้ การบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กล่าวโดยสรุป คาร์บอนฟุตพริ้นท์ไม่เพียงเป็นเครื่องมือวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากยังเป็น “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก
